ไปมาอีกแล้วกับงาน BarCamp BangKhen ครั้งที่ 2 #BCBK

จัดมาเป็นครั้งที่ 2 แล้วนะครับ รู้สึกว่าครั้งนี้จะมีคนรู้จักเยอะขึ้นมากเลย ใครที่พลาดครั้งที่ 1 ไป ขอเชิญชวนให้ไปอ่านบล็อกที่ผมเขียนถึงครั้งที่ 1 ไว้ที่นี่ [click] และนี่เป็นสไลด์ที่ผมพูดครั้งที่แล้ว [click] แต่ครั้งนี้ไปไม่ได้พูดอะไรครับ เกิดเหตุสุดวิสัยเลยทำให้พลาดการเตรียมตัวไปพูด (ผมไม่ใช่คนที่พูดโดยไม่มีการเตรียมตัวไปได้ครับ) หัวข้อจะออกแนวๆ computer vision แต่ก็เอาไว้ครั้งหน้าแล้วกันเนอะ โอเค จากนี้ขอเริ่มเล่าประสบการณ์เลยละกัน

(เกือบ)ทุกคนที่ไปจะได้เสื้อตัวนี้ครับ ลายสวยเลยทีเดียว ใครเป็นคนออกแบบเนี่ย ขอกด Like หน่อย (ทำไมกด Like ไม่กด +1? เพราะผมไม่ชอบ Google+ นั่นเอง :P)

ส่วนนี้เป็นการโหวตหัวข้อครับ พื้นที่โหวตแคบไปหน่อย ครั้งหน้าควรหาที่โหวตใหม่นะจ๊ะ

มาเข้าสู่ช่วงเปิดงาน คนเริ่มทยอยเข้ามา แล้วก็มีน้อง 2 คนมากล่าวเปิด เนื่องจากประธานติดธุระไปถ่ายรูปสาวๆ (-/\- กราบขออภัยที่แอบแซวครับ)

จากนี้ไปเป็นความรู้ที่ผมนำมาเขียนสรุปของแต่ละ session ที่ผมเข้าไปฟังนะครับ ความคิดของผมเองล้วนๆ ถ้าใครมีข้อขัดแย้งประการใด กรุณาจัดมาให้หนักครับ ยินดีๆ 😀

Programmer to Entrepreneur ประสบการณ์ตรงจากโปรแกรมเมอร์สู่ผู้ประกอบการ โดย @Chetchaiyan

มีการเปรียบเทียบรายได้ของลูกจ้างกับเจ้าของกิจการ ซึ่งถ้าเป็นลูกจ้างก็จะได้เงินเดือนปกติ ถ้าเป็นเจ้าของแล้ว เรื่องเงินจะได้เยอะกว่ามาก แต่เราอาจไม่ได้รับทุกเดือน อีกทั้งถ้าเรามีลูกจ้าง ถึงแม้ว่าเราไม่ได้เงินเดือน เราก็ต้องจ่ายเค้าให้ตรงเวลา อย่างไรก็ตามถ้าธุรกิจเดินหน้าได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นเราจะสบาย ใครอยากจะเป็นแบบไหนก็ลองเลือกดู 🙂 ต่อมาก็ได้เล่าประสบการณ์ตรงที่ได้เจอมาต่างๆ แล้วก็มาเน้นว่าเจ้าของกิจการนั้นต้องรู้ให้กว้าง และต้องรู้ทุกด้าน เช่น ด้านกฎหมาย และบัญชี ไม่ใช่เขียนโปรแกรมเป็นอย่างเดียว ถึงแม้ว่าเราจะมีผู้ช่วยก็ตาม ต่อมาก็เน้นเรื่อง product ว่าจะต้องมีคุณภาพ และตอบโจทย์ความต้องการ อย่าไปคิดว่าคนอื่นเก่งกว่า ดีกว่า ถ้าเราคิดจะทำแล้ว เราจะต้องเก่ง และเราก็ต้องไปสู้กับคนอื่นให้ได้ แล้วก็มีเรื่องความเครียดมาเอี่ยวด้วยที่เราต้องหาทางจัดการกับมัน แล้วต่อมาก็เป็นเรื่อง connection ที่จำเป็นมากในปัจจุบัน เวลาเราจะทำงานอะไรก็ตาม การพึ่งพาอาศัยกันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราเดินหน้าต่อไปได้ วิธีหาก็ง่ายมาก แค่ออกงานบ่อยๆ แล้วก็ไปทำความรู้จัก

The Golden Ratio ออกแบบเว็บอย่างไรให้สวย โดย @aspgod

เป็นทฤษฎีหนึ่งในการออกแบบ เป็นกฎทางธรรมชาติด้วย คิดค้นโดย L. Fibonacci ตอนแรกผู้พูดเกริ่นว่าเลขนี้มาจากไหน เรานำไปใช้ในการออกแบบหน้าเว็บอน่างไร ซึ่งจะมีการแบ่งหน้าเว็บตาม golden ratio ที่กล่าวถึง และยังได้บอกอีกว่าความสวยงามนั้นจะเป็นไปตามกฎของคณิตศาสตร์ ต่อมาได้ยกตัวอย่างสิ่งที่เป็นไปตามกฎ เช่น ข้อนิ้วมือของมนุษย์ ความสูงของพีระมิด รูปภาพวาด หรือสถาปัตยกรรมของกรีกสมัยก่อนก็เป็นไปตามกฎ อีกทั้งโลโก้ของ Apple ก็นำเลขอัตราส่วนนี้มาประยุกต์ใช้ และเว็บทวิตเตอร์ก็ใช้อัตราส่วนนี้เช่นเดียวกัน ตอนท้ายคนพูดได้โชว์วีดีโอเกี่ยวกับเลขอัตราส่วนนี้ บอกถึงที่มาที่ไป พรีเซนต์ออกมาได้น่าสนใจมาก

Digital Magazine โดย ทีมงาน Beartai (คุณหนุ่ย @nuishow อ.ศุภเดช @ripmilla และคุณหลาม @sharkshows)

ขอชมว่ากล่าวทักทายคนฟังได้ดีเลยทีเดียว สร้างอารมณ์ร่วมได้เก่ง หมดไป 1 ชม. ที่ไม่เกี่ยวกับหัวข้อ แต่ก็แฝงสาระและข้อคิดต่างๆ ได้อย่างแนบเนียน ประทับใจครับ 😀 ถ้าน้องม็อกมาด้วยจะแจ่มกว่านี้มากๆ ฮา.. พอได้เข้าเรื่องก็พูดถึงกระบวนการทำ digital magazine ซึ่งจะมีการฝังวีดีโอเข้าไป เน้นการมีการปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่าน ตอนท้ายก็แนะนำ "แบไต๋ hitext" ซึ่งเป็นแอพที่ทางทีมงานพัฒนามา ตอนนี้มีแมกกาซีนออกมา 2 เล่มแล้วให้โหลดได้ฟรี แล้วผมก็โหลดมาเรียบร้อย ปิดท้ายก็จบด้วยการแนะนำรายการแบไต๋ น่าสนใจดี ผมว่าจะกลับไปดูย้อนหลังตั้งแต่แรกเลย (ไม่เคยดูมาก่อน)

นี่โปรแกรมอะไรหว่า.. Cydia? ผมเป็นคนดี ไม่รู้จัก 😛

IT Start-up Association โดย David Shelters

ออกตัวก่อนว่าไม่มั่นใจว่าที่ได้ฟังมาถูกต้องหรือเปล่านะครับ ผู้พูดพูดค่อนข้างเบา ผมก็ดันไปนั่งหลังๆ อีก แต่ก็ได้ความมาว่าเค้าพูดเกี่ยวกับ association ที่เพิ่งตั้งไว้สำหรับคนที่จะเริ่ม start-up ของตัวเอง มีจุดประสงค์ 4 อย่างคือ mentoring, icubators, funding, public lobbying & coordination และพูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้น อุปสรรคต่างๆ ในแต่ละด้าน ทั้งด้านการขอทุน หรือการสนับสนุนจากภาครัฐ ในประเทศไทย แล้วยังบอกอีกว่าอุคสาหกรรม IT tech ในไทยยังใหม่มาก มีบริษัทที่ประสบความสำเร็จค่อนข้างน้อย ตอนท้ายก็เสริมต่ออีกว่าจะเจาะจงที่จะช่วยเหลือคน(ไทย) ที่ต้องการจะเริ่มธุรกิจในประเทศไทย อย่างไรก็ตามตอนนี้ยังอยู่ในช่วงการเริ่มต้น และยังต้องการคนที่จะเข้ามาช่วยเหลือในด้านต่างๆ อยู่ เช่น คนไทยที่สามารถนำแนวความคิดไปเผยแพร่ต่อให้คนไทยด้วยกันเองได้ เนื่องจากตอนนี้มีแต่ข้อมูลภาษาอังกฤษ ใครที่สนใจเชิญที่นี่ครับ https://groups.google.com/forum/?hl=en#!forum/thailand-it-mentors

The Roles of Negative Knowledge in Combinatorial Optimization โดย Yong (จริงๆ ชื่อหัวข้อที่นำไปโหวตคือ Order-based Evolutionary Computation for a Knight's Tour Problem)

หัวข้อนี้มาแนวงานวิจัยครับ ช่วงแรกจะกล่าวถึงปัญหาที่ว่าคอมพิวเตอร์ใช้เวลานานมากในการแก้ปัญหา พวก permutation และ combination) และได้พูดถึงว่าทำไม combinatorial optimization ถึงยาก บางปัญหามี solution เยอะมากจึงใช้เวลาแก้นานมาก และอาจจะหาคำตอบไม่ได้ ต่อมาตามที่ผมเข้าใจนะ ปัญหาบางอย่างถ้าเราเรียนรู้จากข้อมูลที่เป็น positive จะยาก แต่ถ้าเรียนรู้จาก negative จะแก้ปัญหาได้เร็วกว่า เหมือนเป็นการ penalize โดยรวมๆ แล้ว จะอธิบายถึงอัลกอริธึมหนึ่งที่ใช้ในการ learning ตัว AI และเอามาใช้ในการแก้ปัญหาต่างๆ เช่น ในเกมหมากรุกมีการวางควีนอย่างไร ให้ควีน 8 ตัว ไม่สามารถกินกันเองได้ หรือแก้ปัญหาที่ม้า 1 ตัว เดินไปทุกตำแหน่งในตารางโดยไม่ซ้ำช่องเดิม ตอนท้ายได้สรุปว่าวิธีนี้เราจะเรียนรู้ทั้งทางบวกและทางลบไปพร้อมๆ กันทำให้เราแก้ปัญหาได้เร็วขึ้นกว่าการเรียนรู้ด้านเดียว และบางปัญหาถ้าเราเรียนรู้แค่ด้านบวก เราจะแก้ปัญหาไม่ได้ แต่ถ้าเรียนทั้ง 2 ด้านจะสามารถแก้ปัญหาได้ ใน session นี้ผมยังไม่ค่อยเข้าใจวิธี ranking ตัว pattern ที่ถูกสร้างมาเท่าไหร่นัก ปกติเราจะมีข้อมูลชุดหนึ่งที่นำไปสอน AI ให้ฉลาดขึ้น แต่นี่ดูเหมือนว่า AI จะสร้างข้อมูลชุดนี้มาเองและสอนตัวเองไปด้วย ผมประทับใจกับ session นี้ด้วยครับ เพราะไม่คิดว่าจะมีคนมาพูดงานวิจัยของตัวเอง

Good resume in my point of view โดย @roofimon

เริ่มมาผู้พูดแนะนำตัวเองว่าจบไฟฟ้าที่เกษตรนี่แหละ (ผมเพิ่งรู้นะเนี่ย ขอกราบส์รุ่นพี่ต่างภาคหน่อยครับ -/\-) แต่ชอบเขียนโปรแกรมเลยมาทำงานด้านคอม ช่วงแรกจะเป็นการเล่าประวัติคร่าวๆ เล่าว่ามีโอกาสได้สัมภาษณ์คนเหมือนกัน จุดประสงค์ที่มาพูดนี้ก็เพื่อมาบอกปัญหาและเสนอสิ่งที่ตัวเองอยากเห็นการนำเสนอตัวเองจากเด็กรุ่นใหม่ ต่อมาได้กล่าวถึงปัญหาที่พบตอนสัมภาษณ์ เช่น เด็กคอมไม่รู้ว่าอยากทำอะไร ไม่รู้ด้วยว่าเป็นอะไรได้บ้าง และเขียน resume ไม่เป็น ผู้พูดได้กล่าวถึงและแนะนำวิธีแก้ปัญหาต่างๆ อธิบายต่อว่า resume คืออะไร ควรจะพรีเซนต์อะไร ต่อไปจึงได้แนะนำ resume ที่ดีๆ ควรจะเป็นอย่างไร ที่สำคัญคือ ควรจะบอกได้ว่าคุณเป็นใคร ทำอะไรได้จริงๆ การเขียนต้องมีการวางรูปแบบดีๆ ข้อมูลครบด้วย เราจำเป็นต้องศึกษาบริษัทนั้นๆ ด้วย เราต้องพรีเซนต์ให้ตรงกับความต้องการของบริษัทนั้น เราต้องใส่ใจในรายละเอียดให้บริษัทนั้นเห็นความตั้งใจของเรา ตอนท้ายได้บอกว่าปัจจุบันการหาคนมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก มีการถามปากต่อปาก ตลอดจนไปถึงการดูจาก social network ดังนั้น เราควรจะต้องบอกโลกให้รู้ว่าเราทำอะไรได้บ้าง ยกตัวอย่างเช่น เขียน blog ในเรื่องที่เราทำ ในสิ่งที่เรารัก ในสิ่งที่เราชอบ โดยสิ่งเหล่านี้แหละจะเป็นการบอกตัวตนของเรา ดังนั้นสำหรับผู้พูดแล้ว "resume ที่ดีคือไม่มี resume" แค่กระดาษ 2-3 แผ่นบอกอะไรไม่ได้มากนัก และเชื่อถือไม่ค่อยได้ สิ่งที่เชื่อถือได้คือสิ่งที่เราทำได้จริง และบอกให้โลกรู้ ถ้าคุณดีจริง จะมีคนมาตามหาคุณเอง

Create Facebook app with Heroku โดย @heha

พูดถึงการสร้างแอพบน Facebook อธิบายถึงขั้นตอนต่างๆ แต่ผมอยู่ session นี้ไม่จบ เพราะคิดว่าคงไม่ลงเนื้อหาลึก อีกอย่างก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องทำแอพบน Facebook หรือพวก cloud service ด้วย 🙂

การบริโภคนิยมเชิงข้อมูลและสัญลักษณ์ โดย @darkmasterxxx

กล่าวถึงว่าปัจจุบัน ผู้บริโภคได้รับข้อมูลมามากมายทั้งเชิงข้อมูลและสัญลักษณ์ ทำให้พฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนไป บางคนถูกชักจูงได้ง่าย ยกตัวอย่างกาแฟยี่ห้อหนึ่ง มีหลายเหตุผลที่เลือกบริโภค บางคนเลือกดื่มเพราะราคาแพง ดื่มและดูดี อาจจะมีส่วนน้อยที่ดื่มเพราะกาแฟมันอร่อยจริงๆ ยกตัวอย่างเกม Angry birds และถามว่าเกมมันสนุกขนาดนั้นเลยหรือเปล่า มีคนโหลดมาเล่นเยอะ แต่ถามว่ามีใครที่ยอมเสียเงินซื้อจริงๆ บ้างกี่คน ยกตัวอย่างในกรณีไอโฟน ถ้ามีเงินเดือนประมาณ 15k บาท ผู้พูดค่อนมั่นใจว่าจะซื้อไอโฟนกันเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากของเค้าดีจริง และมั่นใจอีกว่าคนกว่าครึ่งใช้ไอโฟนแค่โทรเข้ากับออก ผู้พูดได้เน้นย้ำตอนท้ายว่าสิ่งสำคัญจริงๆ อยู่ที่โปรดักท์ ถ้าโปรดักท์ไม่ดีจริงจะไม่สามารถอยู่ได้ ชื่อยี่ห้อดีแต่ของไม่ดีอาจจะได้กำไรแค่ในระยะแรกเท่านั้น ต่อมาได้ทิ้งท้ายไว้ว่าเนื่องจากปัจจุบันข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ และจำเป็นมาก ผู้บริโภคนั้นจะถือว่าข้อมูลนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญเหนืออื่นใด ดังนั้นถ้าราจะทำโปรดักท์ขึ้นมาสักอย่าง เราจำเป็นที่จะต้องนำเสนอข้อมูลของโปรดักท์ชิ้นนั้นออกมาให้ได้ และน่าสนใจ

จาก Developer มาเป็น Photographer โดย @FordAntiTrust

เล่าว่าทำไมถึงได้มาถ่ายรูป ตอนแรกก็ไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับกล้องเลย จนตอนนี้สามารถทำเป็นอาชีพได้แล้ว (ใช้เวลาประมาณ 3 ปี) เรื่องนี้ผมเข้าฟังเพราะว่าผมเองเริ่มอยากศึกษาการถ่ายรูป อยากรู้เทคนิคต่างๆ ที่ใช้กัน ซึ่งก็ไม่ผิดหวังครับ 🙂 มากลับเข้าเรื่องต่อ.. ผู้พูดเปรียบเทียบระหว่าง developer กับ photographer ด้วย โดยอธิบายมุมมองของสองอย่างนี้ค่อนข้างต่างกัน ที่อธิบายได้เพราะว่าผู้พูดเคยทำงานทางด้าน developer มาก่อนนั่นเอง ถ้าอยากรู้ว่าเค้าปรียบเทียบเรื่องอะไรบ้าง เชิญกดดูรูปข้างบนเพื่อดูรูปใหญ่ครับ ส่วนคนที่อยากดูฝีมือการถ่ายภาพของผู้พูด ก็ลองดูลิงค์ในรูปข้างล่างนี้ครับ กดที่รูปอีกเช่นกันเพื่อดูรูปใหญ่

แล้วก็อุปกรณ์ที่ใช้ว่ามีอะไรบ้าง แนะนำให้เวลาถ่ายรูปแล้วให้สนุกกับมัน ความรู้พื้นฐานที่ควรรู้ และ workflow ของการถ่ายรูปที่ค่อนข้างจะคล้ายๆ กับการเขียนโปรแกรม คือเริ่มแรกเราต้องมี concept ก่อน แล้วค่อยเลือก location ต่อมาก็ลงมือถ่ายรูป แล้วปิดท้ายก่อนส่งงานด้วยการโปรเซสรูป พูดถึงโปรแกรมที่ใช้ว่ามีอะไรบ้าง หลังจากนั้นก็แสดงตัวอย่างรูปที่ถ่ายมา แนะนำเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ในการถ่ายรูป มีทั้งแบบ landscape และ portrait

และนั่นคือหัวข้อทั้งหมดที่ผมเข้าไปฟังมาครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่หลงเข้ามาอ่านทุกท่าน

ด้านล่างนี้เป็นบล็อกของท่านอื่นๆ ที่พูดถึงงาน #bcbk ครั้งที่ 2 นี้ครับ

ส่วนลิงค์ทั้งหมด เดี๋ยวรอทาง @barcampbangkhen เค้าสรุปให้นะครับ สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณทีมงาน BarCamp BangKhen ทุกท่านด้วยนะครับ ปีหน้าจัดมาอีกนะ! แต่จะชมอย่างเดียวก็ไม่ใช่ตัวผม มีชมก็ต้องมีติ งานนี้ขอติ 2 ข้อตามนี้ครับ

  • หัวข้อที่เป็นภาษาอังกฤษน้อยมากครับ ควรจะบอกจุดประสงค์ตั้งแต่แรกว่าจะจัดเป็น International หรือไม่ คนต่างชาติหลายคนผิดหวัง เพราะมาเจอแต่ภาษาไทยครับ ดังนั้นเราควรจะมีหัวข้อภาษาอังกฤษบ้าง ในส่วนนี้ผมสังเกตจากแผ่นที่เขียนชื่อหัวข้อครับ ส่วนใหญ่เลยจะมีแต่ TH หรือไม่ก็ไม่ขีดเส้นใต้หรือวงกลมบอกไว้ให้ชัดเจน
  • ผมไม่ค่อยเห็นนิสิตที่เรียนอยู่เสนอหัวข้อพูดสักเท่าไหร่ (หรือจริงๆ มีเยอะแต่ผมไม่ได้เข้าฟังเอง แหะๆ) อย่างไรก็ตาม ผมก็รู้สึกเหมือนงานนี้จัดให้คนมาพูดมากกว่า ซึ่งจริงๆ แล้วน้องๆ ควรจะแสดงออกด้วยครับ งานนี้เป็นงานของพวกน้องเอง งานของเราๆ ต้องมีส่วนร่วมทุกๆ ด้าน ตั้งแต่จัดงานยันเสนอหัวข้อพูด ซึ่งข้อนี้จะเกี่ยวกับที่ติไปข้อแรกด้วยคือถ้ามีหัวข้อที่เป็นภาษาอังกฤษน้อย พวกน้องๆ เองควรจะจัดการปัญหาเหล่านี้โดยเสนอหัวข้อที่เป็นภาษาอังกฤษเอง! ไม่ต้องรอคนอื่น เรียนภาคอินเตอร์กันอยู่แล้วนี่ สบายๆ 😀

Author: zkan

Soon to be a newbie data scientist. I ♥ machine learning, computer vision, robotics, image processing, data visualization, and data analytics.

5 thoughts on “ไปมาอีกแล้วกับงาน BarCamp BangKhen ครั้งที่ 2 #BCBK”

  1. -/\- คารวะ
    เสียดายจับใจที่ไม่ได้ไป!

    session นี้ น่าเข้ามาก!
    "จาก Developer มาเป็น Photographer"

  2. /me ยกมือ ผมนิสิตปีสามครับ แต่ตอนพูด (What programming lang. do you speak?) ผมเข้าสาย ลืมแนะนำตัวครับ เฮือกกกกกกกกกก

    ของผมวงทั้ง TH/EN เพื่อบอกว่าผมจะพูดเป็นอะไรนั้นจะพิจารณาจากผู้ฟังอีกที ไม่รู้ว่าวิธีที่ผมใช้ถูกต้องหรือไม่ (ผมว่าไม่) แต่ผมก็ทำไปแล้ว เพราะจริงๆ ผมพูดอังกฤษได้โอเคเหมือนกัน แต่กลัวว่าจะฟังสำเนียง (ห่วยๆ) ของผมไม่ออก เลยพูด "อังกฤษแบบไทยๆ" ไปซะงั้น

  3. @LunaticNeko ขอชื่นชมครับผม ^^ อยากให้รุ่นน้องคนอื่นๆ เจริญรอยตามครับ ส่วนเรื่องวงทั้ง TH/EN ผมคิดว่าไม่มีผิดหรือถูกครับ ผมว่าเป็นสิ่งที่ดีนะ เพราะคนเข้าฟังจะได้รู้ว่าเราสามารถพูดภาษาอะไรได้บ้าง ถ้าวงแค่ EN คนไทยบางคนอาจจะไม่กล้าเข้าไปฟังก็เป็นได้ แต่ถ้าวงทั้ง 2 ภาษา คนฟังที่เป็นคนไทยน่าจะรู้สึกผ่อนคลายมากกว่า คือถ้าฟังอังกฤษไม่รู้เรื่อง แต่ก็ยังสามารถถามเป็นภาษาไทยได้ ที่ผิดจริงๆ น่าจะเป็นคนที่ไม่วงอะไรเลย ให้คนฟังเข้าไปเดาเองว่าจะพูดภาษาอะไร

    คนไทยพูดอังกฤษสำเนียงไทยก็ดีอยู่แล้วนะครับ ไม่ห่วยหรอก ถ้าฝรั่งฟังไม่เข้าใจ แล้วไม่ถามเนี่ย ปัญหาคงอยู่ที่ฝรั่งคนนั้นเองมากกว่า 🙂

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *